简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
จากทองคำสู่น้ำมัน! รู้จัก Commodity Market ตลาดสำคัญที่ขับเคลื่อนค่าเงินทั่วโลก
บทคัดย่อ:ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Market) เป็นเวทีซื้อขายสินค้ามาตรฐาน เช่น น้ำมัน ทองคำ และสินค้าเกษตร ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินในตลาด Forex ราคาทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าอื่น ๆ สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจโลกและส่งแรงสั่นสะเทือนมายังค่าเงิน นักเทรดที่เข้าใจ Commodity Market จะสามารถจับสัญญาณเศรษฐกิจ วิเคราะห์คู่เงิน เช่น XAU/USD หรือ USD/CAD ได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสทำกำไรจากตลาด Forex โดยไม่พึ่งพากราฟเพียงอย่างเดียว

ก่อนที่กราฟ Forex จะขยับเพียงเสี้ยววินาที เบื้องหลังมันคือแรงสั่นสะเทือนจาก “ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์” — หรือที่เรียกว่า Commodity Market
- เมื่อราคาน้ำมันพุ่งขึ้น เศรษฐกิจทั่วโลกจะร้อนแรง
- เมื่อราคาทองคำพุ่งสูง นักลงทุนจะรีบหาที่หลบภัย
และทุกการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ล้วนส่งต่อแรงกระเพื่อมมายังค่าเงินในตลาด Forex ที่เทรดเดอร์จับตามองอยู่ทุกวัน
Commodity Market คืออะไร
Commodity Market คือ ตลาดที่ใช้ซื้อขาย “สินค้าโภคภัณฑ์” — สินค้าที่มีมูลค่ามาตรฐานและสามารถทดแทนกันได้ เช่น
- สินค้าเกษตร (ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, กาแฟ)
- พลังงาน (น้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ)
- โลหะมีค่า (ทองคำ, เงิน, แพลตตินัม)
ตลาดนี้มีทั้งแบบ ตลาดจริง (Physical Market) ที่มีการส่งมอบสินค้า และ ตลาดอนุพันธ์ (Futures Market) ที่เน้นการเก็งกำไรจากราคาในอนาคต ซึ่งเป็นที่มาของโอกาสในการเทรดแบบไม่ต้องถือสินค้าจริง
จุดเริ่มต้นของ Commodity Market
ประวัติของ Commodity Market ย้อนกลับไปได้หลายร้อยปี ในสมัยโบราณ ชาวนาและพ่อค้าจะ “ตกลงราคาสินค้าไว้ล่วงหน้า” เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคต สิ่งนี้ค่อย ๆ พัฒนาเป็น ตลาดล่วงหน้า (Futures Market) อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ Chicago Board of Trade (CBOT) ซึ่งก่อตั้งในปี 1848
โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกษตรกรและผู้ซื้อสามารถซื้อขายสินค้าด้วยราคาที่แน่นอนล่วงหน้า — หลักการเดียวกันกับการเทรดสัญญาซื้อขายน้ำมันหรือทองคำในปัจจุบัน
ความเชื่อมโยงระหว่าง Commodity Market และตลาด Forex
หลายคนอาจสงสัยว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เกี่ยวข้องกับตลาด Forex อย่างไร? คำตอบคือ “มากกว่าที่คิด”
ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์หลัก เช่น ทองคำ (Gold) และ น้ำมันดิบ (Crude Oil) มีผลโดยตรงต่อค่าเงินของหลายประเทศ
ตัวอย่างเช่น:
- เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น มักส่งผลให้ค่าเงิน USD อ่อนลง เพราะทองถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- ในทางกลับกัน เมื่อราคาน้ำมันพุ่ง ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน เช่น CAD (แคนาดา) หรือ RUB (รัสเซีย) มักจะแข็งค่า
ดังนั้น นักเทรด Forex มืออาชีพจึงมักจับตาดู Commodity Market ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์กราฟค่าเงิน เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดได้แม่นยำขึ้น
ทำไมนักเทรดควรเข้าใจ Commodity Market
- เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจโลก — การเคลื่อนไหวของสินค้าโภคภัณฑ์สะท้อนภาวะเศรษฐกิจโดยตรง เช่น ราคาน้ำมันที่พุ่งบ่งชี้ภาวะอุปสงค์ที่สูงขึ้น
- ใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ค่าเงิน — นักเทรด Forex ที่ติดตามราคาทองหรือน้ำมันจะมองเห็นความสัมพันธ์กับคู่เงินสำคัญ เช่น XAU/USD หรือ USD/CAD
- เพิ่มโอกาสทำกำไร — การวิเคราะห์ Commodity Market ทำให้เข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาด Forex ได้ลึกกว่าการดูกราฟเพียงอย่างเดียว
สรุป
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์หรือ Commodity Market ไม่ได้เป็นแค่เวทีซื้อขายวัตถุดิบทางเศรษฐกิจ แต่คือ “กลไกที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจโลก” และเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์สำคัญของนักเทรด Forex สมัยใหม่
จากราคาทองคำที่ผันผวนไปตามนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่สะท้อนความต้องการพลังงานทั่วโลก ทุกการเคลื่อนไหวใน Commodity Market คือสัญญาณที่บอกเล่า “เรื่องราวของเศรษฐกิจโลก” ที่นักเทรดไม่ควรมองข้าม
โดนหลอกโดนโกง อย่าเก็บไว้คนเดียว แอดเหยี่ยวช่วยได้!
ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการใช้โบรกเกอร์ไม่ว่าจะโดนโกง ถอนเงินไม่ได้ หรือเจอพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส เราอยากบอกว่า… คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้คนเดียว เพื่อให้วงการ Forex เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มาเล่าให้เราฟังหน่อยนะครับ ว่าเจออะไรมาบ้าง ทีมงานของเราจะนำข้อมูลไปช่วยวิเคราะห์ และจะติดต่อกลับเพื่อดูว่าเราพอจะช่วยอะไรได้บ้าง
คลิกตรงนี้เพื่อเล่าให้เราฟัง : https://forms.gle/YhR5UGA41pZT62Fo8

อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย : https://www.wikifx.com/th
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
อ่านเพิ่มเติม

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

บัญชี ECN คืออะไร? ทางลัดสู่ราคาจริงที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้!
บัญชี ECN (Electronic Communication Network) เป็นระบบเทรดที่ส่งคำสั่งซื้อ–ขายตรงไปยังตลาดกลางหรือผู้ให้สภาพคล่อง ทำให้นักเทรดเห็นราคาจริง (Raw Price) โดยไม่มีการปรับแต่งจากโบรกเกอร์ ข้อดีของบัญชี ECN ได้แก่ ความโปร่งใส สเปรดต่ำ ความเร็วสูง และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด ทำให้เหมาะกับกลยุทธ์ Scalping, News Trading หรือ Swing Trading อย่างไรก็ตามบัญชี ECNต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นสูงและมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาตครบถ้วน การใช้บัญชี ECNช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนของราคา และเข้าถึงตลาด Forex อย่างแท้จริง

เข้าใจคำว่า ‘มาจิ้น’ ผิด ชีวิตเทรดพัง! ควรรู้ให้ลึกก่อนหมดตัว
มาจิ้น (Margin) คือเงินประกันที่นักเทรดต้องฝากกับโบรกเกอร์เพื่อเปิดออเดอร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเต็มจำนวน การเข้าใจมาจิ้นสำคัญเพราะช่วยให้ใช้ leverage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุม Lot Size และ Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยง Margin Call นักเทรดมืออาชีพใช้มาจิ้นเป็นเครื่องมือจัดการเงินทุน สร้างสมดุลระหว่างกำไรและความเสี่ยง ทำให้พอร์ตสามารถอยู่รอดในตลาดที่ผันผวนได้
WikiFX โบรกเกอร์
Exness
HFM
EC Markets
Plus500
octa
ATFX
Exness
HFM
EC Markets
Plus500
octa
ATFX
WikiFX โบรกเกอร์
Exness
HFM
EC Markets
Plus500
octa
ATFX
Exness
HFM
EC Markets
Plus500
octa
ATFX
