简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
สรุปเหตุการณ์โจรกรรมคริปโตฯ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ "กรณี Bybit"
บทคัดย่อ:เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025 เกิดเหตุการณ์การแฮกที่ใหญ่ที่สุดในโลกคริปโตฯ เมื่อ Bybit แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ถูกขโมยสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินทรัพย์หลักที่ถูกขโมยคือ ETH กว่า 401,000 เหรียญ การโจรกรรมนี้เกิดขึ้นระหว่างการโอนย้ายเหรียญจาก Cold Wallet ไปยัง Warm Wallet และใช้วิธีการที่ซับซ้อนโดยแฮกเกอร์แทรก Smart Contract เข้าไปในธุรกรรม การโจมตีนี้คาดว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus Group จากเกาหลีเหนือ โดย Bybit ได้แถลงว่าไม่ได้รับผลกระทบต่อการทำธุรกรรมอื่น ๆ และได้เปิดโปรแกรมเพื่อช่วยติดตามสินทรัพย์ที่ถูกขโมย พร้อมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการสืบสวนและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

เมื่อวันศุกร์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนโลกคริปโตเคอร์เรนซีอย่างมาก เมื่อ Bybit แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ของโลก ถูกแฮกขโมยสินทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าเป็นมูลค่าที่สูงสุดในประวัติศาสตร์โลกคริปโตฯ โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ถูกแฮกขโมยไปคือ ETH ที่จำนวนกว่า 401,000 เหรียญ
การโจรกรรมครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นในระหว่างที่บริษัทฯ กำลังทำการโอนย้ายเหรียญจากกระเป๋า Cold Wallet หรือกระเป๋าออฟไลน์เข้าสู่กระเป๋า Warm Wallet ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ Bybit ทำเป็นประจำทุกวันเพื่อใช้ในการเทรดบนแพลตฟอร์ม
Bybit คือ แพลตฟอร์มเทรดคริปโตฯ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 2 รองจาก Binance โดยมีปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) อยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์)
Bybit ได้ออกมาโพสต์ผ่าน X ว่า “การโจรกรรมครั้งนี้ใช้วิธีการที่ซับซ้อน โดยการทำธุรกรรมมีการแสดง Interface ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง แต่สอดไส้ Smart Contract ที่แปลงข้อมูลแล้ว” ส่งผลให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมกระเป๋า Cold Wallet ได้ และเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปแหล่งอื่นที่ไม่สามารถระบุที่อยู่ได้
เกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากถูกแฮก?
Ben Zhou ซีอีโอของ Bybit ได้ออกมาแถลงหลังจากเกิดเหตุการณ์โจมตีว่า “Bybit ยังมีความมั่นคง และมั่นใจว่าลูกค้าจะไม่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะไม่สามารถกู้คืนสินทรัพย์จากการถูกแฮกได้ โดยสินทรัพย์ของลูกค้าทั้งหมดได้รับการค้ำประกันแบบ 1 ต่อ 1 ดังนั้น บริษัทจึงสามารถดูแลและครอบคลุมในส่วนที่สูญเสียไปได้”
อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ลูกค้าของ Bybit ได้ทยอยถอนสินทรัพย์ของตัวเองออกจากแพลตฟอร์มจำนวนมาก โดย Bybit ได้ออกมารายงานว่า ได้มีการดำเนินการถอนเงินสำเร็จไปแล้วมากกว่า 580,000 ครั้งตั้งแต่เกิดเหตุการแฮก
ด้านซีอีโอ Zhou ยังได้ยืนยันเพิ่มเติมว่า “กระเป๋าเงินอื่น ๆ ตลอดจนการทำธุรกรรมถอนสินทรัพย์อื่นไม่ได้รับผลกระทบ” ทั้งนี้บริษัทมีสินทรัพย์มูลค่าสูงกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ภายใต้การบริหาร
ทาง Bybit ยังได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนเพื่อทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามเส้นทางการโจรกรรมสินทรัพย์ดังกล่าว โดย Arkham Intelligence บริษัทวิจัย ออกมารายงานว่า “สินทรัพย์ดังกล่าวได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่อยู่ใหม่แล้ว และกำลังถูกขายออกไป”
ผู้ต้องสงสัยหลัก
สำนักข่าว CNA รายงานว่า บริษัทวิจัย Arkham Intelligence, Elliptic และ ZachXBT นักวิเคราะห์ที่ทำการติดตามเส้นทางการโจรกรรม พบว่าการแฮกครั้งนี้เชื่อมโยงกับ “Lazarus Group”
Lazarus Group คือ กลุ่มแฮกเกอร์ที่กำหนดมาตรการคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีการระบุว่ากลุ่มนี้สำนักสืบราชการลับ (Reconnaissance General Bureau) ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองของเกาหลีเหนือ อีกทั้งยังเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แรนซัมแวร์และการโจรกรรมข้อมูลในอดีต
กลุ่มนี้เคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ “WannaCry” ด้วยการแฮกเข้าระบบของธนาคารระหว่างประเทศและบัญชีลูกค้า รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2014 ที่เกิดขึ้นกับบริษัท Sony Pictures Entertainment อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการสืบสวนและคาดว่า Lazarus Group อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ Rug Pull มีมคอยน์บนเชน Solana ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าการเทรดเหรียญมีมเริ่มกลายเป็นสแกม และอาจจะรวมไปถึงเหตุการณ์ของเหรียญมีม $Libra ที่กำลังกลายเป็นปัญหาทางการเมืองในอาร์เจนตินาด้วยเช่นกัน
และจากข้อมูลของ Chainalysis พบว่า การโจมตีแฮกเข้าระบบคริปโตฯ ที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปี 2023 สู่ระดับสถิติสูงสุดที่มูลค่ากว่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
แนวทางการแก้ปัญหาของ Bybit
เมื่อวันเสาร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ หนึ่งวันหลังจากเหตุโจรกรรม ทาง Bybit ได้ออกมาประกาศเปิดโปรแกรม “Bounty Programme” มอบรางวัลให้กับผู้ที่สามารถติดตามและกู้คืนสินทรัพย์ที่ถูกขโมยไปได้ โดยจะมอบรางวัลเป็นส่วนแบ่ง 10% ของสินทรัพย์ที่ถูกขโมยไป
พร้อมกับเปิด “Blacklisted Wallet API” อินเตอร์เฟสโปรแกรมประยุกต์สำหรับกระเป๋าที่อยู่ในบัญชีดำ โดยจะให้เหล่าแฮกเกอร์ White Hat สามารถนำข้อมูลไปช่วยติดตามล่าหาสินทรัพย์คืน ซึ่งซีอีโอ Zhou มองว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นหมุดหมายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรม และจะเป็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญหากสามารถตามล่าสินทรัพย์คืนมาได้
นอกจากนี้ ทาง Bybit ได้ประกาศว่ามีการร่วมงานกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในสิงคโปร์และหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้กับ Ethereum Foundation อีกด้วย
พร้อมกันนี้ ในชุมชน Ethereum ยังมีการเสนอให้ทำการ “Rollback” หรือการย้อนกลับบนเชน Ethereum แบบที่เคยทำเมื่อสมัยการโจมตี The DAO จนส่งผลให้เกิดบล็อกเชน Ethereum อีกอันขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพื่อย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดเหตุโจรกรรม อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ยังเป็นข้อถกเถียงในคอมมูนิตี้ของ Ethereum ว่าอาจจะส่งผลกระทบในด้านความน่าเชื่อถือ
และล่าสุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทางซีอีโอ Zhou ได้ออกมาโพสต์ผ่าน X ว่า Bybit ได้ทำการปิดช่องว่างสินทรัพย์ ETH ที่ถูกโจรกรรมไปได้แล้ว โดย Bybit สามารถหา ETH ประมาณ 446,870 เหรียญ ที่มีมูลค่าประมาณ 1,230 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาได้แล้วผ่านการกู้ยืม การฝากสินทรัพย์ของนักลงทุนรายใหญ่ (Whale Deposits) และจากการซื้อ ETH เพิ่ม และจะมีการเสนอรายงาน Proof-of-Reserve ออกมาเร็ว ๆ นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
อ่านเพิ่มเติม

ยังทันไหม? ความจริงของการขุดคริปโตปีนี้ที่หลายคนไม่กล้าบอก
บทความนี้วิเคราะห์ความคุ้มค่าของการขุด Bitcoin ในปีปัจจุบัน โดยพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ค่าไฟฟ้า ความยากในการขุด ราคาตลาด และต้นทุนอุปกรณ์ พร้อมอธิบายโครงสร้างรายได้หลังการ Halving ที่ทำให้รางวัลลดลงและการแข่งขันสูงขึ้น ผลการประเมินพบว่าการขุดจะคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีต้นทุนไฟฟ้าต่ำและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง รวมถึงผู้ที่ต้องการสะสม Bitcoin ระยะยาว ขณะที่ผู้ที่มีค่าไฟสูงหรือหวังผลตอบแทนเร็วอาจไม่เหมาะกับการขุดในช่วงนี้ โดยมีทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่า เช่น การซื้อสะสมแบบ DCA หรือการลงทุนในบริษัทเหมือง Bitcoin บทความจึงสรุปว่า การขุดยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างต้นทุนและกลยุทธ์ของผู้ลงทุนเป็นหลัก

บทเรียนจากจาเมกาถึงหาดใหญ่ ที่ชี้ว่า “อนาคตต้อง Decentralized”
บทความนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการสื่อสารที่มัก “หายไปทันที” เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมในภาคใต้ของไทย หรือพายุเฮอริเคน Melissa ที่จาเมกา ซึ่งทำให้โครงสร้างสื่อสารแบบรวมศูนย์ล่มกว่า 70% เหตุการณ์ดังกล่าวผลักให้ชาวจาเมกาหันมาใช้ Bitchat แอปสื่อสารแบบ Decentralized ที่ทำงานผ่าน Bluetooth Mesh Network ส่งข้อความกันได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เครือข่ายประชาชนลักษณะนี้พิสูจน์ว่าเทคโนโลยี Decentralized ไม่ได้มีไว้เพียงเทรดคริปโต แต่มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยและการช่วยชีวิตในสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความชี้ให้เห็นว่าไทยควรพิจารณาเทคโนโลยี DePIN หรือระบบสื่อสารฉุกเฉินแบบไม่พึ่งโครงสร้างรวมศูนย์ เพื่อเพิ่มความทนทานในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต.

ทำไม Accumulation ถึงบอกจิตวิทยาตลาดได้ก่อนใคร
Accumulation ในตลาด Forex คือช่วงเวลาที่ผู้เล่นรายใหญ่หรือ Smart Money เริ่มสะสมสกุลเงินหรือคู่เงินในปริมาณมาก โดยราคายังไม่ปรับตัวขึ้น ทำให้กราฟอยู่ในช่วง Sideways การเข้าใจ Accumulation ช่วยให้นักเทรดมองเห็นแรงซื้อที่ซ่อนอยู่ ตัดสินใจเข้าออเดอร์ก่อนตลาดพุ่ง และลดความเสี่ยงติดดอย การสังเกต Accumulation Zone ผ่านกราฟ ราคา Volume และสัญญาณ Divergence จึงเป็นทักษะสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรอย่างมีระบบและอยู่รอดในตลาดที่ผันผวน.

เทรดกับใคร? เหมาะกับสไตล์คุณ ธนาคาร vs โบรกเกอร์
การเริ่มต้นเทรด Forex ไม่ใช่เพียงเรื่องของการเลือกคู่เงินหรือวิเคราะห์กราฟราคา แต่การเลือกแพลตฟอร์มเทรด—ระหว่างธนาคารและโบรกเกอร์ออนไลน์—มีผลต่อความปลอดภัยและผลตอบแทนอย่างมาก การเทรดผ่านธนาคารให้ความมั่นคงสูงแต่ข้อจำกัดเยอะ เช่น ค่าธรรมเนียมสูงและเลเวอเรจต่ำ ขณะที่โบรกเกอร์ออนไลน์มอบความยืดหยุ่นสูง คู่เงินและเครื่องมือหลากหลาย แต่ต้องระวังความน่าเชื่อถือและตรวจสอบใบอนุญาต การเลือกแพลตฟอร์มจึงควรพิจารณาสไตล์การเทรด ความรู้ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างรอบคอบ เพื่อสร้างประสบการณ์เทรดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ.
WikiFX โบรกเกอร์
octa
Plus500
AVATRADE
Ultima
EC Markets
Vantage
octa
Plus500
AVATRADE
Ultima
EC Markets
Vantage
WikiFX โบรกเกอร์
octa
Plus500
AVATRADE
Ultima
EC Markets
Vantage
octa
Plus500
AVATRADE
Ultima
EC Markets
Vantage

